บทที่ 12 เการั่วซี (๑)
หวังซานเย่ควบอาชาเข้าวังหลวงอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยรองแม่ทัพฉู่หานจิ้ง และทหารจำนวนหนึ่งที่ควบอาชาตามมาจนเหล่าราษฎรในตลาดต่างต้องแยกกันหลบเพื่อให้อาชาที่ปราดเปรื่องควบผ่านตัดหน้าตนเองไป ความสง่างามของแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเยี่ยนนั้นกลายเป็นที่โจษขานทั่วเมืองหลวงในชั่วพริบตา เมื่อผนวกกับความสามารถเหนือบรรดานักรบทั้งหลาย ทำให้เกิดเสียงฮือฮาในหมู่ชาวบ้านขึ้นมาถึงราชบัลลังก์
เนื่องจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีพระทัยฝักใฝ่สกุลเกา อีกทั้งยังมอบอำนาจในการดูแลพลเรือนให้เกาเจียฉี่เข้ามามีส่วนร่วม กระทั่งเกิดการจราจลอย่างเงียบๆ ในหมู่ขุนนางที่ไม่พอใจกับการตัดสินพระทัยครั้งนี้ แต่ว่าด้วยความที่บุตรสาวของเกาเจียฉี่เป็นถึงพระสนมเอกผู้สูงศักดิ์ของฝ่ายใน จึงไม่มีขุนนางคนใดกล้าคัดค้านอำนาจของอัครมหาเสนาบดีในขณะนี้
ในยามนี้สกุลเกาขึ้นมามีอิทธิพลในราชวงศ์เป็นอย่างมาก นับตั้งแต่เการั่วซีได้ถวายตัวเป็นเกากุ้ยเฟย เกาเจียฉี่ก็เรืองอำนาจขึ้นอย่างขีดสุด
“ข้าล่ะเสียดายความสามารถของชินอ๋องเสียจริงๆ คนเก่งและมีความสามารถแบบนี้กลับได้แค่ดำรงตำแหน่งอ๋อง” พ่อค้าเขียงหมูคนหนึ่งพูดขึ้นมาหลังจากที่ขบวนของชินอ๋องควบม้าตัดผ่านหน้าร้านของตนไป เรียก
ความสนใจจากเฉินหว่านอิ๋งที่กำลังเลือกซื้อเครื่องประดับผมให้กับตนเอง
นางฟังการสนทนานั้นอย่างตั้งใจ
“นี่ๆ ข้าได้ข่าวว่าชินอ๋องผู้นี้น่ะรักใคร่สนิทสนมอยู่กับเกาอี้เหริน คุณหนูสกุลเกาด้วยนะ นางน่ะเป็นน้องสาวของเกากุ้ยเฟย สกุลเกาคงหมายใจอยากควบรวมอำนาจเอาไว้เพียงผู้เดียว” เสียงของแม่ค้าขายผักในตลาดอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ นางหยิบจับผักในแผงของตนเองไปมาแล้วกล่าวต่ออีกว่า “ถ้าสกุลเกาได้เกี่ยวดองกับราชสำนักทั้งสองพี่น้อง ผลประโยชน์ทั้งหมดก็คงตกอยู่กับเกาเจียฉี่ผู้เดียว”
เฉินหว่านอิ๋งที่ฟังการสนทนาอยู่ด้วยความสนใจ นางเดินเข้ามาถามแม่ค้าแผงขายผัก “ชินอ๋องผู้นี้ ใช้หวังซานเย่หรือเปล่าเจ้าคะ”
แม่ค้าขายผักลอบพิจารณาความงามของสตรีตรงหน้า แล้วกล่าวตอบว่า “ใช่น่ะสิ นี่...ทางที่ดีน่ะเจ้าหลบให้พ้นสายตาพวกสกุลเกาดีกว่า บุตรชายคนโตเกาเจียฉี่น่ะขึ้นชื่อว่าเกี้ยวพาราสีสาวงาม สตรีในเมืองหลวงที่งดงามหลายคนต้องตกเป็นของเขาทั้งนั้น”
“บุตรชายของเขาใช่รองเจ้ากรมพิธีการชื่อเกาเจียเสียนหรือเปล่าเจ้าคะ”
แม่ค้าขายผักผู้นั้นตอบอย่างขอไปที “ใช่ๆ เจ้าน่ะต้องระวังเอาไว้ล่ะ งดงามเพียงนี้ข้าล่ะเสียดายหากต้องตกเป็นของคนชั่วอย่างพวกสกุลเกาน่ะ”
เฉินหว่านอิ๋งยิ้มเฝื่อนๆ น้อมรับ ก่อนจะปลีกตัวเดินออกมา เนื่องจากตนไม่มีสาวรับใช้ข้างกายคนสนิทอย่างเฉินรั่วหลาน อีกทั้งสาวใช้ในจวนก็ไม่มีใครอยากสนิทสนมกับนางสักเท่าใดนัก แต่ว่าหญิงสาวกลับไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น ตรงกันข้ามนางคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีกับตัวนางที่ไม่ต้องมีใครมาคอยตามติดให้วุ่นวายใจ เพราะอย่างไรเสียคนพวกนั้นก็เป็นคนของเฉินฮูหยินอยู่แล้ว หากให้ตามประกบตนเองทุกฝีก้าวก็คงไม่ดีเหมือนกัน
“อ๊ะ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ!” ระหว่างเดินที่เฉินหว่านอิ๋งกำลังใช้ความคิดเพลินๆ นางจึงบังเอิญเดินชนกับสตรีผู้หนึ่งเข้า ซึ่งสตรีผู้นั้นกำลังสวมหมวกม่านมี่หลีมากับสตรีอีกคนที่อยู่ด้านหลังซึ่งกำลังมองนางอย่างไม่พอใจ หญิงสาวรีบก้มหน้าทันทีเพราะคิดว่าสตรีที่สวมหมวกม่านมี่หลีอยู่นั้นคงเป็นสตรีสูงศักดิ์แน่แท้
“ไม่เป็นไร” สตรีผู้นั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“แต่ฮองเฮาเพคะ นางเดินชนพระองค์นะเพคะ” หลิงซีกระซิบบอกกับสตรีที่สวมหมวกม่านมี่หลีอยู่ แต่ว่าเสียงนั้นดังจนเฉินหว่านอิ๋งรู้ตัวตนที่แท้จริงของสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ ที่แท้คนที่นางเดินชนด้วยความบังเอิญมีฐานะสูงส่งเป็นถึงมารดาแห่งแผ่นดิน!
อู๋ฮองเฮา!
เฉินหว่านอิ๋งกำลังจะก้มลงถวายคำนับ ทว่าฝ่ามือของอู๋ฮองเฮากลับคว้าข้อมือของสตรีตรงหน้าเอาไว้ก่อน พลางจุ๊ปากเบาๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเงียบสงบ “ชู่ว์ เจ้าอย่าส่งเสียงดังไป”
เฉินหว่านอิ๋งลอบกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง นางพยักหน้าตอบสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก
อู๋ตานเหม่ยมองข้าวของของเฉินหว่านอิ๋งที่หล่นกระจัดกระจาย “เรื่องนี้เจ้าไม่ผิด เป็นข้าเองที่เดินไม่ระวังจนของของเจ้าต้องเสียหายเช่นนี้ เจ้ารับเงินนี้ไปนะ...”
อู๋ตานเหม่ยยัดถุงเงินจำนวนหนึ่งให้กับเฉินหว่านอิ๋ง
“ไม่ๆ หม่อมฉันรับไว้ไม่ได้เพคะ เป็นหม่อมฉันเองที่ไม่ระวัง...”
นางปฏิเสธเป็นพัลวัน แต่ว่าอู๋ตานเหม่ยกลับส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้
“เจ้ารับไปเถิด นี่ถือเป็นคำขอโทษจากข้านะ”
หลิงซีที่ยืนอยู่ด้านหลังอู๋ฮองเฮาพูดขึ้นมา “เจ้าน่ะอย่าลีลาท่ามาก ฮองเฮาทรงมอบให้แล้วก็รับไปสิ!”
เฉินหว่านอิ๋งกลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง นางมองเจ้าของถุงเงินนี้เดินหายลับสายตาไปด้วยความเป็นห่วง
